Money Management
การบริหารจัดการเงิน Money Management จะมีหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นระบบที่วางด้วยช่วงเวลา อัตราส่วนการลงทุน หรืออัตราส่วนการเติบโตของเงินทุน แต่เราสามารถแบ่ง MM ได้เป็น 3 แบบ (ในบางที่อาจจะใช้แค่ 2 แบบนะครับ) ดังนี้
1. Constant Investing Money Management – การเทรดแบบนี้คือการตั้งค่าการเทรดตั้งแต่เริ่มเทรดเลย เช่น ตั้งไว้ที่ 2.0 Lot ก็จะเทรดเท่านี้ต่อไปตลอด จนยอดเพิ่มขึ้นมากขึ้นแล้วอาจจะเปลี่ยนการตั้งค่า โดยเริ่มคิดใหม่อีกครั้งหนึ่ง เป็น MM ที่ง่ายที่สุด ข้อดีคือยิ่งเล่นได้มากขึ้น ความเสี่ยงโดยรวมก็จะยิ่งลดลง และลำดับการได้เสียไม่มีผลต่อการเทรด (เช่น เสียติดกันสิบครั้ง แล้วตามด้วยได้สิบครั้ง ให้ผลไม่ต่างจากได้สลับกับเสียอย่างละครั้ง) โดยทั่วไปจะใช้ MM แบบนี้เป็นตัวเปรียบเทียบกับ MM ในรูปแบบอื่นๆ
ตัวอย่างเช่นดังตารางด้านล่างนะครับ (เทรดด้วย Quantity เท่าเดิมตลอด)
เทรดครั้งที่ เงินลงทุน กำไร/ขาดทุน เทรดครั้งที่ เงินลงทุน กำไร/ขาดทุน
1 1000 +200 1 1000 +200
2 1200 +200 2 1200 +200
3 1400 -100 3 1400 +200
4 1300 -100 4 1600 +200
5 1200 -100 5 1800 +200
6 1100 +200 6 2000 -100
7 1300 +200 7 1900 -100
8 1500 -100 8 1800 -100
9 1400 +200 9 1700 -100
10 1600 -100 10 1600 -100
1500 1500
Constant Investing Money Management
จะเห็นว่ายอดการเทรดเท่ากัน ไม่ว่าระบบจะมีลำดับการกำไร ขาดทุนอย่างไรก็ตาม ข้อดีของระบบนี้ คือ ง่ายๆ ตรงไปตรงมา ไม่คิดมาก ลำดับการเทรดไม่มีผลต่อกำไร ขาดทุน ยิ่งเล่นนานโอกาสเสียหมดตัวยิ่งน้อยลงมาก ส่วนข้อเสีย คือ ทุนเติบโตช้ามาก อาจจะเร็วในช่วงแรก แต่จะช้ามากในช่วงหลังๆ จนต้องปรับแผนใหม่ (บางทีอาจไม่นับการเล่นแบบนี้เป็น MM)
2. Martingale Money Management – การเล่นแบบนี้เรียกง่ายๆ ว่า แทงทบ ซึ่งหลายๆ ท่านอาจจะเข้าใจดีจากเว็บพวก Casino ที่เล่นปั่นหัว-ก้อย และมีสูตรตามบอร์ดบอกถึงวิธีได้ 100% หรืออะไรทำนองนี้ (ซึ่งมันไม่จริงหรอก) ซึ่งระบบนี้ใช้หลักการที่ว่า
สมมติฐานที่ 1: เมื่อเราเทรดเสีย การจะกลับไปมีเงินทุนเท่าเดิมนั้นจะยากขึ้น เช่น คุณมีพอร์ทขนาด $100 เสียไปครึ่งหนึ่ง คือ $50 การที่จะทำให้ทุนเท่าเดิมจึงต้องเทรดให้ได้กำไรเป็นสองเท่าของทุนแล้ว (จาก 50-100) ไม่ใช่เทรดเพิ่มอีกครึ่งหนึ่งแบบตอนที่เสีย ลักษณะแบบนี้เราจะเรียกว่า Drawdown ดังนั้นในการเทรดครั้งหลังๆ ควรจะลงทุนเป็นจำนวนมากขึ้น เพื่อให้ทุนกลับมาเท่าเดิมได้เร็วขึ้น
สมมติฐานที่ 2: การเทรดเสียแต่ละครั้ง ในบางโอกาส เมื่อเราเสียครั้งหนึ่งแล้ว โอกาสที่จะเสียครั้งต่อไปจะลดลง เช่นการเทรดพวก Commodities Future ซึ่งอาจมีราคาต่ำสุดในรอบฤดูกาลนั้นๆ และคาดการณ์ได้ว่าราคาจะขึ้นในช่วงต่อไป อาจจะใช้วิธีนี้ หรืออาจจะใช้การเล่นแบบซื้อเฉลี่ยได้ ซึ่งโอกาสที่ซื้อครั้งหลังๆ (ราคาต่ำมากแล้ว) จะมีโอกาสเสียน้อยลง เพราะ Commodities ราคาจะไม่เป็น 0 แน่นอน
ข้อดี: ระบบนี้เหมาะมากสำหรับระบบที่เข้ากับสมมติฐานทั้งสองข้อข้างต้น และอาจใช้ร่วมกับการซื้อเฉลี่ยได้ ผลกำไรที่ได้จากการเทรดครั้งหลังๆ จะเป็นทวีคูณ
ข้อเสีย: ระบบนี้ไม่เหมาะอย่างยิ่งกับการเทรดที่ใช้ Margin หนักๆ อย่าง Forex เนื่องจากการทบนั้นครั้งหลังๆ จะเพิ่มความเสี่ยงเป็นทวีคูณ และการเล่น Forex ก็คาดการณ์ได้ยากว่าราคาจะขึ้นหรือลงไปถึงจุดไหน แถมด้วยโอกาสได้เสียของการเทรดแต่ละครั้งยังเป็นอิสระต่อกันด้วย เช่นเดียวกับการเล่น หัว-ก้อย ซึ่งไม่ควรใช้ระบบนี้เช่นกัน เพราะว่าเมื่อออกหัวติดๆ กันหลายครั้งแล้วไม่ได้หมายความว่าครั้งต่อไปโอกาสออกก้อยมากขึ้น โอกาสออกก้อยก็ยังเป็น 50% เท่าเดิม ซึ่งบางครั้งการแจกแจงความน่าจะเป็นในชีวิตจริงก็ทำไม่ได้อย่างตรงไปตรงมานะครับ อีกอย่างด้วยระบบนี้อาจทำให้เสียหมดตัวได้ ในการเทรดช่วงเดียว (ช่วงที่เจอ Drawdown อาจหมดตัวได้)
เนื่องจากระบบนี้ไม่ค่อยเกี่ยวข้องนักกับการลงทุนใน Forex ผมจึงจะไม่ขอกล่าวถึงมากนะครับ ส่วนตัวอย่างรูปแบบการลงทุน อาจจะเป็นได้ทั้งแบบ 2n หรือ 3n ก็ได้ เช่น เริ่มจากจำนวน Lot 0.1->0.2->0.4->0.8->1.6->3.2 อย่างนี้เป็นต้น
Martingale Money Management
3.Anti Martingale Money Management – ระบบนี้ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าตรงกันข้ามกับระบบ Martingale หรือระบบ แทงทบ ซึ่งจะลงเพิ่มเมื่อเงินทุนลดลง แต่ MM แบบนี้ จะเพิ่มจำนวนการเทรดขึ้นเมื่อยอดเงินเพิ่มขึ้นพอสมควรแล้ว ซึ่งลักษณะการเพิ่มของระบบนี้ ในทางคณิตศาสตร์จะเพิ่มในลักษณะของกราฟเอกซ์โพเนนเชียล หรือในลักษณะของอนุกรมเรขาคณิต ซึ่งเป็นระบบที่พวกเราทั่วๆ ไปใช้กันนั่นเอง ส่วนรายละเอียดของระบบนี้ขอเป็นคราวหน้าแล้วกันนะครับ ครั้งนี้ผมเมื่อยแล้ว 555+
ข้อดี: ความเสี่ยงในการเทรดค่อนข้างคงที่ การเพิ่มของเงินทุนเป็นแบบอนุกรมเรขาคณิตซึ่งรวดเร็วมาก
ข้อเสีย: หากควบคุมความเสี่ยงไม่เหมาะสมกับการเทรด หรือมี Trading System ที่มี Expectancy เป็นลบ (แต่เข้าใจว่ามันเป็นบวก T T) หรือการกระจายตัวของการเทรดไม่เหมาะสม ระบบนี้ก็อาจจะเร่งการเสียได้เร็วพอๆ กับเร่งยอดของเงินทุน ซึ่งอันตรายมาก แต่วิธีนี้ก็มีทางแก้ โดยการใช้รูปแบบของการเทรดแบบต่างๆ ซึ่งแต่ละแบบก็จะเหมาะสมกับนิสัยและสไตล์การเทรดของแต่ละคน
ปล. ช่วงหลังๆ อาจไม่เขียนตัวอย่างนะครับ เพราะว่าผมเหนื่อยอ่ะ เอาเป็นว่าท่านอื่นๆ ถ้าอยากแสดงตัวอย่างการเทรดแบบต่างๆ ก็สามารถแสดงกันได้เต็มที่เลยนะครับ ^^
ปล. 2 เนื่องจากขณะที่เขียน ผมเขียนๆ เอาโดยอาศัยจำๆ เอา อาจจะไม่ได้อ้างอิงความถูกต้องมากนัก ดังนั้นอาจจะมีที่ผิด (จากความเข้าใจผิดของผม) ในที่ใดที่หนึ่งได้ ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง วานท่านผู้รู้ช่วยแก้ไขและตรวจสอบความถูกต้องให้ด้วยนะครับ
และในคราวหน้าเราจะเริ่มพูดถึงขวากที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับนักลงทุน นั่นคือ Drawdown :'(
ข้อคิดข้อที่ 4: เมื่อมี Trading System ที่ดีแล้ว MM จะเป็นตัวกำหนดว่าเราจะเป็นนักลงทุนประเภทใด ถ้าใช้ Constant Investing คุณจะเป็นนักออมเงินทีดี หากใช้ Martingale MM คุณจะกลายเป็นนักพนัน และสุดท้ายหากใช้ Anti Martingale MM อย่างเหมาะสม คุณจะกลายเป็นผู้มีอิสระภาพทางการเงิน พบกันใหม่ ตอนต่อไป
ทีมงาน : thaiforexbroker.com