หลายคนคงรู้สึกเหนื่อยใจกับการเทรด Forex ที่ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหน พอร์ตก็ไม่โตสักที เหมือนขึ้นๆ ลงๆ วนลูปอยู่กับที่ แต่ปัญหานี้จะหมดไป! บทความนี้ได้รวบรวมเคล็ด (ไม่) ลับที่จะช่วยเป็น “หลักยึดเหนี่ยว” ให้คุณ ปั้นพอร์ต Forex ให้เติบโตอย่างมั่นคง
ฉบับย่อโดย Thaiforexbroker.com
- หลักการปั้นพอร์ต Forex ให้โตต้องพึ่งพาแนวคิดหลายๆ อย่าง ซึ่งจำแนกออกมาเป็น 3 แนว ใหญ่ๆ คือ ทักษะและพฤติกรรม, จิตวิทยา, การใช้เครื่องมือเทคโนโลยี
- ทักษะและพฤติกรรม เช่น การวางแผนการเทรด การบริหารความเสี่ยง ส่วนจิตวิทยาคือ ความอดทน มีวินัยและการใช้เทคโนโลยีก็เช่น การใช้บัญชี Demo การทำ Backtest
- 15 แนวคิดนี้ไม่ได้เป็นข้อบังคับสำหรับเทรดเดอร์ทุกคน เพียงทำตามอย่างน้อย 5-6 ข้อ ก็สามารถมีโอกาสในการปั้นพอร์ตให้เติบโตได้
15 หลักยึดเหนี่ยว ปั้นพอร์ต Forex ให้โต ทำตามนี้!
หลักยึดเหนี่ยวจำแนกได้หลากหลายเช่น ทักษะและพฤติกรรมการเทรด จิตวิทยาของการลงทุน การใช้เทคโนโลยีหรือฟีเจอร์ของระบบเทรดเข้ามาช่วย โดยนำมารวมๆ กันจนกลายเป็น 15 ข้อแนวคิดช่วยปั้นพอร์ตแบบนี้ ไปดูกันเลยดีกว่า!
1. บริหารความเสี่ยงอย่างชาญฉลาด
- ในการเทรด Forex “การบริหารความเสี่ยง” แทบจะเป็นรากฐานที่สำคัญที่สุดของพอร์ตที่อยากจะเติบโตและประสบความสำเร็จ
- ในช่วงแรกของการเทรด เป้าหมายคือ “อย่าเสี่ยงเกิน 2% ของเงินทุนทั้งหมดในแต่ละการเทรด” หากฝีมือพัฒนาขึ้นแล้ว ค่อยๆ เพิ่มความเสี่ยงขึ้นทีละนิด (แต่ไม่ควรเกิน 10% ของเงินทุน)
- ทำไมต้องจำกัดความเสี่ยง?
- การจำกัดความเสี่ยงช่วยป้องกันการสูญเสียเงินทุนก้อนใหญ่ แม้เกิดการเทรดผิดพลาด
- เมื่อรู้ว่าความเสี่ยงถูกควบคุม เราจะเทรดได้อย่างใจเย็น มีสติและตัดสินใจอย่างมีเหตุผลมากขึ้น
- ตัวอย่างการบริหารความเสี่ยง
- “น้องใหม่ใจสู้” เริ่มต้นเทรด Forex ด้วยทุน 50,000 บาท
- จำกัดความเสี่ยง : น้องใหม่ ควรเริ่มต้นด้วยการจำกัดความเสี่ยงไม่เกิน 1% ของเงินทุน
- หมายความว่ายอมรับการขาดทุนได้สูงสุด 500 บาท (50,000 x 1%) ในการเทรด 1 ครั้ง
2. โฟกัสคู่เงินที่ใช่ ไม่ต้องเทรดทุกตัว
- แม้ว่า ในตลาด Forex จะมีคู่สกุลเงินให้เลือกเทรดมากมาย แต่รู้ไหมว่า การโฟกัสที่คู่เงินเพียงไม่กี่คู่ที่เรา “รู้จริง” เป็นกลยุทธ์ที่มั่นคงและปลอดภัย
- ยิ่งรู้จักคู่เงินแบบเฉพาะเจาะจงมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งวิเคราะห์และคาดการณ์ทิศทางราคาได้แม่นยำมากขึ้นเท่านั้น รวมถึงเข้าใจพฤติกรรมและแนวโน้มของคู่เงินนั้นๆ ได้อย่างลึกซึ้ง
3. หมั่นใช้ Stop-Loss ป้องกันเงินทุน
- การใช้คำสั่ง “Stop-Loss Order” เป็นคำสั่งที่ให้ขายคู่สกุลเงินโดยอัตโนมัติ เมื่อราคาตกลงมาถึงระดับที่กำหนดไว้ ซึ่งทำหน้าที่เป็น “จุดตัดขาดทุน” จำกัดความเสียหายไม่ให้ลุกลาม
- ทำไมต้องใช้ Stop-Loss? เพราะช่วยให้เทรดได้อย่างสบายใจ ไม่ต้องเฝ้าหน้าจอตลอดเวลา เพราะมั่นใจว่ามี Stop-Loss คอยตัดเมื่อกราฟผิดทาง
4. อัตราความเสี่ยงต่อผลตอบแทน
- จากข้อที่ 3 มันจะต่อเนื่องมาสู่การใช้ อัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทน หรือ Risk-to-Reward Ratio (RR) ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างพอร์ต Forex ให้เติบโต
- RR คือ อัตราส่วนระหว่าง “เป้าหมายกำไร” กับ “จุดตัดขาดทุน (Stop-Loss)” โดยแนะนำให้ตั้งค่า RR ขั้นต่ำที่ 1.5 หมายความว่า ทุกๆ 1 ส่วนของความเสี่ยง ควรตั้งเป้าหมายกำไรไว้ที่ 1.5 ส่วน
- ยกตัวอย่าง
- หากคุณเข้าซื้อ EUR/USD ที่ 1.1000 ตั้ง Stop-Loss ที่ 1.0980 (20 pips) และ Take Profit ที่ 1.1030 (30 pips) RR ของเราก็จะเท่ากับ 30/20 = 1.5
- เทรดเดอร์มืออาชีพ ส่วนใหญ่มักให้ความสำคัญกับ RR มากกว่า Win Rate เพราะ RR เป็นตัวกำหนด “ความคุ้มค่า” ของการเทรดในระยะยาว
5. จดบันทึกการเทรด
- แต่ละการเทรดทุกๆ ครั้ง “บันทึกการเทรด” จะช่วยให้เรามองเห็น “ตัวตน” ในการเทรดว่าเรามีพฤติกรรมแบบไหน เข้าใจจุดแข็งจุดอ่อนของตัวเอง แต่ละสถิติในการเทรดด้วย
- เราควรบันทึกทุกการเทรด ทั้ง “ชนะ” และ “แพ้” พร้อมเหตุผลเพื่อวิเคราะห์หารูปแบบการเทรดและสาเหตุของความสำเร็จ/ล้มเหลว
- เมื่อเห็น “จุดอ่อน” เราก็จะสามารถปรับปรุงกลยุทธ์ เช่น ปรับ Stop-Loss, Take Profit, หรือ Money Management ให้เหมาะสมยิ่งขึ้น
- ตัวอย่างการจดบันทึกการเทรด พร้อมด้วยเหตุผล
- วันที่/เวลา : 25 ตุลาคม 2024, 10:00 น.
- คู่เงิน : EUR/USD คำสั้ง Buy
- จุดเข้า : 1.1000 / Stop-Loss: 1.0980 / Take Profit: 1.1030
- ผลลัพธ์ : +30 pips
- เหตุผล : Breakout แนวต้าน + RSI อยู่ในโซน Overbought
6. วางแผนการเทรดให้ชัดเจน
- ถ้าอยากอยู่รอดในตลาด Forex และปั้นพอร์ตให้โตได้ไวๆ สิ่งแรกที่เทรดเดอร์ควรจะต้องมีก็คือ แผนการเทรดที่ชัดเจน
- แผนการเทรดที่ว่านี้ก็จะมีองค์ประกอบสำคัญ ดังนี้
- เป้าหมาย : เช่น ทำกำไร กี่เปอร์เซ็นต์ ต่อเดือน/ปี
- กลยุทธ์ : เช่น Scalping, Day Trading, Swing Trading การวิเคราะห์ทางเทคนิคหรือปัจจัยพื้นฐาน
- การบริหารความเสี่ยง : กำหนดความเสี่ยงสูงสุดต่อการเทรด ใช้ Stop-Loss กระจายความเสี่ยง
- จุดเข้า-ออก เช่น รูปแบบกราฟ Indicators แนวรับ-แนวต้าน
- Money Management : เช่น ขนาด Position Sizing การใช้ Leverage
7. มีวินัยและทำตามแผน
- การสร้างพอร์ต Forex ให้เติบโต ต้องอาศัยทั้ง “ความอดทน” และ “วินัย” ที่เทรดเดอร์ทุกคนต้องมี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องเผชิญกับช่วงเวลาที่ตลาดผันผวน
- การมีวินัยและทำตามแผนมันจะช่วยสกัดกั้นความรู้สึก “อยากรวยเร็ว” จนเกิดความโลภและแหกกฎการจัดการความเสี่ยงที่เราตั้งไว้
- ขอยกตัวอย่างคำพูดจากนักลงทุนระดับโลกอย่าง Warren Buffett ที่กล่าวเอาไว้ว่า
- วอร์เรน บัฟเฟตต์ เน้นย้ำว่าความอดทนคือกุญแจสำคัญในการลงทุนระยะยาว ซึ่งสามารถนำมาปรับใช้ในตลาด Forex ได้เช่นกัน
8. เข้าใจตลาด Forex อย่างแท้จริง
- ก่อนที่เทรดเดอร์อย่างเราๆ จะปั้นพอร์ตให้เติบโตนั้น เราควรสำรวจตัวเองก่อนว่าเรามีความรู้ในส่วนที่เราลงทุนอย่างจริงแท้มากแค่ไหน
- เพราะการเข้าใจตลาด Forex คือ จุดเริ่มต้นของการเป็นเทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จ ยิ่งรู้มากเท่าไหร่ก็ยิ่ง มั่นใจในการเทรดและควบคุมความเสี่ยงได้ดีขึ้นเท่านั้น
- ซึ่งการจะเข้าใจตลาด Forex ก็มีหลายประเภทที่สามารถจำแนกได้ เช่น
- เข้าใจการวิเคราะห์ข่าว เศรษฐกิจ
- เข้าใจการวิเคราะห์เชิงเทคนิค
- เข้าใจแพลตฟอร์มสำหรับการเทรด+วิธีใช้
- เข้าใจการบริหารเงินและการจำกัดความเสี่ยง
9. อัพเดตข่าวสาร ไม่พลาดทุกความเคลื่อนไหว
- สืบเนื่องจากข้อที่ 7 เมื่อเราเข้าใจในตลาด Forex อย่างดีแล้ว เราก็จะติดตามข่าวสารที่จะมีผลกระทบต่อการเทรดของเราแน่นอน เพราะการปั้นพอร์ตให้โตนั้น เราต้องอัพเดทความรู้ ข่าวสาร ตลอดเวลา
- ข่าวสารที่สำคัญสำหรับเทรดเดอร์ทุกที่ควรจะติดตาม ก็อย่างเช่น
- ข่าวเศรษฐกิจ : ตัวเลข GDP, อัตราเงินเฟ้อ, การจ้างงาน เหล่านี้บ่งชี้ถึง “สุขภาพ” เศรษฐกิจของแต่ละประเทศส่งผลต่อ “ค่าเงิน”
- ข่าวการเมือง : นโยบาย ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ การเลือกตั้ง จะสร้าง “ความผันผวน” ให้ตลาด
- ภัยพิบัติ : เหตุการณ์ไม่คาดฝัน เช่น แผ่นดินไหว น้ำท่วม กระตุ้นให้เกิด “แรงเทขาย” ในสินทรัพย์เสี่ยง
10. วิเคราะห์ทางเทคนิค มองหาโอกาสทำกำไร
- ข้อนี้ก็จะต่อเนื่องมาจากข้อ 7 และ 8 โดยการใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิค ก็คือ การศึกษาพฤติกรรมราคาในอดีต ผ่านกราฟและ Indicators เพื่อคาดการณ์ทิศทางในอนาคต
- การวิเคราะห์ทางเทคนิคเหมือนเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่เป็นตัวช่วยย้ำความชัดเจนของแนวโน้มราคาอีกที หลังจากที่เราได้วิเคราะห์ข่าวแล้ว โดยเครื่องทางเทคนิคที่เทรดเดอร์นิยมใช้กันก็คือ
- กราฟราคา : แสดงการเคลื่อนไหวของราคาในรูปแบบต่างๆ เช่น Line Chart, Bar Chart, Candlestick
- Indicators : เครื่องมือคำนวณ ช่วยวิเคราะห์โมเมนตัม แนวโน้ม จุดกลับตัว มีให้เลือกใช้มากมาย ขึ้นอยู่กับความถนัดและกลยุทธ์ของแต่ละคน
- แนวรับ-แนวต้าน : จุดที่ราคามีแนวโน้ม” หยุด หรือ “กลับตัว” เป็นจุดสำคัญในการเข้า-ออก ออเดอร์
11. Backtest กลยุทธ์ ก่อนลงสนามจริง
- Backtest คือ การนำกลยุทธ์การเทรดของเราไปทดลองกับข้อมูลราคาในอดีต เพื่อดูว่าหากใช้กลยุทธ์นี้จะได้ผลลัพธ์อย่างไร ทำกำไรหรือขาดทุน
- ประโยชน์ของการทำ Backtest ก็คือ
- วัดผล “อัตราการชนะ” (Win Rate) “อัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทน” (Risk-to-Reward Ratio) ของกลยุทธ์
- มองเห็นจุดอ่อนที่อาจเกิดขึ้น เช่น สัญญาณ “ผิดพลาด” การตั้ง Stop-Loss ที่ไม่เหมาะสม
- การทำ Backtest ก็สามารถทำได้บนแพลตฟอร์มการเทรดหรือโปรแกรมซอฟต์แวร์ เช่น
- แพลตฟอร์มเทรด MT4, MT5 มีฟังก์ชั่น “Strategy Tester” ให้ Backtest
- ซอฟต์แวร์พวก Forex Tester, TradingView มีเครื่องมือและข้อมูลที่หลากหลายให้ลองใช้
12. ฝึกฝนกับบัญชีทดลอง (Demo Account)
- บัญชี Demo ส่วนใหญ่แล้วโบรกเกอร์ Forex ทั่วๆ ไป จะมีบัญชีประเภทนี้เปิดให้บริการอยู่ เป็นบัญชีเทรดเสมือนจริงที่มี เงินจำลอง ราคา กราฟ เครื่องมือ ให้เหมือนกับเราได้มีบัญชีและเทรดจริง แต่ไม่เสียเงินจริง!
- ใครที่อยากจะปั้นพอร์ตให้เติบโต ควรจะเริ่มฝึกฝนและใช้งานบัญชี Demo ก่อน เพราะจะได้ทดลอง เปิด-ปิดออเดอร์ ใช้ Indicators วิเคราะห์กราฟให้ชินและเป็นการทดสอบกลยุทธ์เทรดและความสามารถของเราไปด้วย
13. อย่า Overtrade เมื่อเห็นโอกาส
- การ Overtrade คือ การเปิดออเดอร์มากเกินไป โดยไม่คิด ไม่วางแผน จนทำให้พอร์ตเกิดความเสี่ยงต่อการขาดทุนจำนวนมาก
- ส่วนใหญ่แล้วเทรดเดอร์ที่มักจะ Overtrade เพราะเห็นและมั่นใจว่าโอกาสนี้มีแนวโน้มที่เราจะชนะสูง จนไม่ทำตามแผนการเทรดที่ได้วางไว้
- ผลที่ตามมาจากการ Overtrade ถ้าชนะก็อาจจะได้รับกำไรที่สูงก็จริง แต่ถ้าแพ้ขึ้นมานั่นหมายความว่าเรากำลังจะเสียเงินทุนไปจำนวนมากเช่นกัน ดังนั้น ระดับความเสี่ยงจากการ Over Trade นั้นถือว่าไม่เหมาะต่อการ ปั้นพอร์ต Forex ให้โต ควรเน้นที่ความสม่ำเสมอดีกว่า
14. ซื้อขายหลายกรอบเวลา
- การเทรดหลาย Time Frame เป็นอีกหนึ่งเคล็ดลับในการสร้างพอร์ต Forex ให้เติบโต เพราะอะไรน่ะหรอ?
- Time Frame ใหญ่ (เช่น Weekly, Daily) แสดงแนวโน้มระยะยาว
- Time Frame เล็ก (เช่น H1, M15) เห็นถึงจังหวะ เข้า-ออก
- การเทรดตาม Time Frame หลากหลาย ไม่ว่าตลาดจะ Sideways หรือ Trending ก็หาจังหวะเทรดได้
- การเลือก Time Frame ในการเทรด โดยทั่วไปแล้วแนะนำให้เริ่มจาก Time Frame ที่ใหญ่ก่อน เช่น Daily หรือ Weekly เพราะ
- Time Frame ใหญ่ ช่วยให้เห็นแนวโน้มระยะยาวของตลาด เข้าใจทิศทางหลักของราคา และวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานได้ง่ายขึ้น
- Time Frame เล็ก เช่น 1 นาที หรือ 5 นาที มักมีสัญญาณรบกวนเยอะ ทำให้สับสน และตัดสินใจผิดพลาดได้ง่าย โดยเฉพาะเทรดเดอร์มือใหม่ที่กำลังปั้นพอร์ต
- การดู Time Frame ใหญ่ ช่วยฝึกความอดทนและไม่ต้องใช้เวลาเฝ้าจอตลอดเวลา เนื่องจากใช้เวลานานกว่ากราฟราคาจะวิ่งไปตามที่เราวิเคราะห์
15. ความสม่ำเสมอ
- สิ่งสุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุด “ความสม่ำเสมอ” คือ หัวใจของการเทรด Forex เทรดเดอร์หลายคนล้มเลิกกลางคันเพราะ ท้อแท้ ละเลยการติดตามตลาด ความฝันที่จะปั้นพอร์ตก็ต้องจบลงไป
- ความสม่ำเสมอคือตัวปั้นที่ทำให้ความรู้ ทักษะ การวิเคราะห์ ของเราพัฒนาเก่งขึ้นทุกๆ วัน แม้จะเป็นการพัฒนาทีละเล็กน้อยก็ตามแต่ถ้าทำอย่าสม่ำเสมอ ย่อมได้เห็นการเปลี่ยนแปลง
- และสุดท้าย ความสม่ำเสมอสามารถนำไปปรับใช้ไม่ใช่เฉพาะแค่การพัฒนาฝีมือการเทรด เท่านั้น แต่ยังรวมถึงการเรียนรู้อยู่ตลอดเวลาของเทรดเดอร์ด้วย
วิดีโอที่เกี่ยวกับการปั้นพอร์ต Forex จากพอร์ตเล็กให้โต
ทีมงานเราไปเจอวิดีโอตัวหนึ่งจาก YouTube เป็นเทรดเดอร์ชาวต่างชาติ ซึ่งหลายคนน่าจะเคยเห็นมาก่อน ในวิดีโอนี้ เทรดเดอร์คนนี้ทำเนื้อหาเกี่ยวกับ ปั้นพอร์ตยังไงให้โตด้วยทุนเริ่มต้น 10$ ซึ่งเทคนิคและวิธีคิดของเขาน่าสนใจ จนอยากจะแชร์ให้ผู้อ่านทุกท่านได้รับรู้ครับ
- Focus นาทีที่ 1:31 การคํานวณเป้าหมายความเสี่ยงและกําไร
- Focus นาทีที่ 2:15 สูตรสำหรับการเทรด
- Focus นาทีที่ 6:29 การบริหารความเสี่ยงในการเทรด
- Focus นาทีที่ 8:02 การใช้ประโยชน์จากโปรโมชั่นและแพลตฟอร์มการซื้อขาย
สรุป
อ่านมาถึงตรงนี้แล้วก็เชื่อว่าหลายคนคงจะได้แนวคิดอะไรหลายๆ อย่างจากบทความนี้ไปปรับใช้กันนครับ ไม่จำเป็นต้องทำตามครบทุกข้อก็ได้ เพียงแค่ทำอย่างน้อย 5-6 ขึ้นไป เชื่อว่าการเทรดของแต่ละคน น่าจะมีประสิทธภาพจนทำให้พอร์ตของเราเติบโตขึ้นได้แน่นอน
สุดท้ายนี้ก็อยากจะย้ำเตือนเทรดเดอร์อีกครั้งว่าการเทรด Forex ไม่ควรคิดหรือทำให้มันเป็นการพนัน ไม่ควรหวังจะรวยทางลัดแบบไม่ลืมหูลืมตา มันคือศาสตร์การลงทุน ซื้อ-ขาย อย่างหนึ่งที่ต้องใช้ความรู้ ความเข้าใจ อย่างสูง หวังว่าแนวคิด 15 ข้อจะทำให้เทรดเดอร์ทุกคนมีพอร์ตที่เติบโตและประสบความสำเร็จการตลาด Forex นี้นะครับ