ADP National Employment Report คืออะไร?
ADP National Employment Report คือ เครื่องมือวัดชีพจรเศรษฐกิจสหรัฐฯ เป็นการรายงานการเปลี่ยนแปลงการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐอเมริกา
เคยสงสัยไหม ว่าทำไมนักเทรดถึงให้ความสำคัญกับตัวเลข ADP มากนักหนา?” เพราะจริงๆ แล้ว ADP ไม่ใช่แค่ตัวเลขธรรมดาๆ เลยค่ะ แต่เป็นเหมือน ‘กระจกวิเศษ’ ที่สะท้อนให้เห็นสุขภาพของตลาดแรงงานสหรัฐฯ ได้อย่างชัดเจน
โดยรายงานนี้จัดทำโดยบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง ADP ที่เก็บข้อมูลจากบริษัทกว่า 460,000 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งน่าตื่นเต้นมากๆ เพราะออกมาก่อนตัวเลขการจ้างงานทางการถึง 2 วันเลยนะคะ ที่สำคัญ รายงานนี้ยังเป็นเหมือน ‘ไพ่ทาโรต์’ ที่ช่วยให้นักลงทุนทำนายทิศทางเศรษฐกิจได้ล่วงหน้าเลย รายงานนี้จะช่วยให้วางแผนการเทรดได้แม่นยำขึ้นอย่างแน่นอน
ADP National Employment Report แบ่งเป็น 3 ส่วนดังนี้
ส่วนที่ 1 คือ ADP (Automatic Data Processing)
- ADP คือชื่อบริษัท Automatic Data Processing ที่เป็นผู้จัดทำรายงานนี้เป็นบริษัทที่ให้บริการด้านระบบจ่ายเงินเดือนที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ มีข้อมูลความน่าเชื่อถือสูง
- Automatic Data Processing หรือ ADP เป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ที่ให้บริการด้านระบบจ่ายเงินเดือนอันดับหนึ่งของสหรัฐอเมริกา
- มีประสบการณ์กว่า 60 ปี
- มีการดูแลระบบจ่ายเงินเดือนให้กับกว่า 460,000 บริษัท ครอบคลุมพนักงานมากกว่า 26 ล้านคน
- ข้อมูลของ ADP มีความน่าเชื่อถือสูงและได้รับการยอมรับจากนักลงทุนและสถาบันการเงินทั่วโลก
ส่วนที่ 2 คือ Non-Farm (นอกภาคเกษตร)
- Non-Farm หมายถึง “นอกภาคเกษตร” ไม่รวมการจ้างงานในภาคเกษตร
- เนื่องจากมีความผันผวนตามฤดูกาล การเน้นเฉพาะภาคเอกชนทำให้เห็นพลวัตของตลาดและความเชื่อมั่นทางธุรกิจที่แท้จริง
ส่วนที่ 3 คือ Employment Change (การเปลี่ยนแปลงการจ้างงาน)
- Employment Change หมายถึง “การเปลี่ยนแปลงการจ้างงาน” จะแสดงตัวเลขการเพิ่ม/ลดของการจ้างงานเทียบกับเดือนก่อน
- มีการปรับค่าตามฤดูกาลเพื่อให้เห็นแนวโน้มที่ชัดเจน
- ช่วยให้นักลงทุนและผู้กำหนดนโยบายวิเคราะห์ทิศทางเศรษฐกิจได้แม่นยำยิ่งขึ้นนั้นเอง
ความเป็นมา
ADP National Employment Report เป็นรายงานสำคัญที่จัดทำโดยบริษัท Automatic Data Processing (ADP) ซึ่งเป็นผู้ให้บริการด้านการบริหารจัดการทรัพยากรบุคคลและระบบจ่ายเงินเดือนรายใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา โดยรายงานนี้ได้เริ่มจัดทำขึ้นตั้งแต่ปี 2006 ด้วยความร่วมมือกับ Moody’s Analytics ในการวิเคราะห์ข้อมูล
ทั้งนี้ ADP มีฐานลูกค้าที่ครอบคลุมบริษัทเอกชนกว่า 460,000 แห่งทั่วประเทศสหรัฐอเมริกา และดูแลระบบการจ่ายเงินเดือนให้พนักงานมากกว่า 26 ล้านคน ซึ่งนับเป็นฐานข้อมูลขนาดใหญ่ที่สามารถสะท้อนภาพรวมของตลาดแรงงานสหรัฐฯ ได้เป็นอย่างดี
- ในการจัดทำรายงาน ADP ยังได้แบ่งการวิเคราะห์ข้อมูลออกเป็นหลายมิติ โดยเฉพาะการแยกตามขนาดของธุรกิจ
- ซึ่งประกอบด้วยธุรกิจขนาดเล็กที่มีพนักงาน 1-49 คน
- ธุรกิจขนาดกลางที่มีพนักงาน 50-499 คน
- ธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีพนักงานตั้งแต่ 500 คนขึ้นไป
- สิ่งที่น่าสนใจคือ รายงาน ADP จะถูกเผยแพร่ในทุกวันพุธแรกของเดือน ซึ่งเร็วกว่าการประกาศตัวเลขการจ้างงานทางการของรัฐบาล (Non-Farm Payrolls) อยู่ 2 วัน
- จึงทำให้รายงานนี้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่นักลงทุนและนักวิเคราะห์ใช้ในการคาดการณ์ตัวเลขการจ้างงานทางการที่กำลังจะประกาศตามมา
- ควรตระหนักว่ารายงาน ADP มีข้อจำกัดบางอย่าง เนื่องจากครอบคลุมเฉพาะข้อมูลจากบริษัทที่เป็นลูกค้าของ ADP เท่านั้น
- รายงานนี้ก็ยังคงมีประโยชน์อย่างมากในแง่ของการเป็นตัวชี้นำทิศทางตลาดแรงงานและสภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของสหรัฐฯ
- ดังนั้น การติดตามและทำความเข้าใจรายงานนี้จึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ที่ต้องการประสบความสำเร็จในการลงทุน
ทำความรู้จักกับ ADP เชิงลึก
การรวบรวมข้อมูลนี้ใช้ระบบอัตโนมัติในการประมวลผลจากฐานข้อมูลการจ่ายเงินเดือนจริง ทำให้มีความแม่นยำสูงและสามารถสะท้อนภาพรวมของตลาดแรงงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดย ADP จะทำการวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงการจ้างงานในแต่ละเดือน เปรียบเทียบกับเดือนก่อนหน้า และทำการปรับค่าตามฤดูกาลเพื่อให้เห็นแนวโน้มที่แท้จริง
- ข้อมูลที่ถูกรวบรวมนี้ครอบคลุมการจ้างงานในภาคเอกชนทั่วประเทศสหรัฐฯ ในทุกอุตสาหกรรม
- ไม่ว่าจะเป็นภาคการผลิต การบริการ การก่อสร้าง การเงิน เทคโนโลยี และอื่นๆ
- ในส่วนของการครอบคลุมการจ้างงานในภาคเอกชนทั่วประเทศสหรัฐฯ นั้น
- ข้อมูลจะรวมถึงทุกอุตสาหกรรมหลัก
- โดยมีการแยกวิเคราะห์ตามขนาดของธุรกิจ
- ตั้งแต่ธุรกิจขนาดเล็ก ขนาดกลาง และขนาดใหญ่
- ซึ่งครอบคลุมประมาณ 20% ของการจ้างงานภาคเอกชนทั้งหมดในสหรัฐฯ
- ทำให้สามารถสะท้อนภาพการเปลี่ยนแปลงของตลาดแรงงานได้อย่างครอบคลุม
- รายงานนี้จะไม่รวมการจ้างงานในภาคการเกษตร
- เนื่องจากลักษณะการจ้างงานในภาคเกษตรมีความพิเศษและแตกต่างจากภาคอื่นๆ อย่างมีนัยสำคัญ
- การจ้างงานในภาคเกษตรมักมีความผันผวนสูงตามฤดูกาล
- มีรูปแบบการจ้างงานที่ไม่เป็นทางการ
- มีการจ้างงานชั่วคราวตามฤดูเก็บเกี่ยว
- มักมีแรงงานต่างด้าวจำนวนมาก
- หากนำมารวมในรายงานอาจทำให้ภาพรวมของตลาดแรงงานบิดเบือนและไม่สะท้อนสภาพเศรษฐกิจที่แท้จริง
- การไม่รวมภาคเกษตรจึงช่วยให้ข้อมูลมีความน่าเชื่อถือและแม่นยำมากขึ้นในการใช้เป็นตัวชี้วัดทิศทางเศรษฐกิจ
ลักษณะสำคัญของรายงาน ADP National Employment Report
1. การจัดทำรายงาน
- มีการประกาศทุกวันพุธแรกของเดือน เวลา 20:15 น. (ตามเวลาไทย)
- แสดงข้อมูลการเปลี่ยนแปลงการจ้างงานจากเดือนก่อนหน้า
- เป็นรายงานที่ออกก่อนตัวเลขการจ้างงานทางการของรัฐบาล (Non-Farm Payrolls) 2 วัน
2. การแบ่งประเภทข้อมูล
รายงานแบ่งการจ้างงานตามขนาดของธุรกิจ:
- ธุรกิจขนาดเล็ก: มีพนักงานน้อยกว่า 50 คน
- ธุรกิจขนาดกลาง: มีพนักงาน 50-499 คน
- ธุรกิจขนาดใหญ่: มีพนักงานมากกว่า 500 คนขึ้นไป
3. การนำไปใช้
กลุ่มนักลงทุน
- วางแผนการลงทุนหุ้น/Forex/ทองคำ
- วางกลยุทธ์การเทรด Forex ทั้งระยะสั้นและระยะยาว
- ปรับพอร์ตการลงทุนตามแนวโน้มเศรษฐกิจ
- กำหนดจังหวะเข้า-ออกตำแหน่งในสินทรัพย์ต่างๆ
- วางแผนการลงทุนในตลาดหุ้นทั้งในและต่างประเทศ
- ประเมินโอกาสทำกำไรจากการเทรดทั้งระยะสั้นและระยะกลาง
- คาดการณ์การเคลื่อนไหวของราคาพันธบัตร
- วางแผนการกระจายความเสี่ยงในพอร์ตการลงทุน
- ปรับกลยุทธ์การลงทุนในทองคำและสินทรัพย์ปลอดภัย
- จับจังหวะการเทรดระยะสั้น
- คาดการณ์การเคลื่อนไหวของตลาดในวันประกาศ NFP
- วิเคราะห์ทิศทางค่าเงินดอลลาร์และผลกระทบต่อคู่เงินหลัก
- ประเมินความเสี่ยงในสินทรัพย์ประเภทต่างๆ
- ติดตามการไหลเวียนของเงินทุนระหว่างประเทศ
- เตรียมพร้อมรับมือความผันผวนในช่วงประกาศตัวเลข
กลุ่มภาคธุรกิจ
- วางแผนจ้างงาน/ต้นทุน
- วางแผนการขยายหรือลดกำลังการผลิตตามสภาวะตลาด
- ประเมินต้นทุนด้านแรงงานในระยะยาว
- วางแผนงบประมาณบุคลากรประจำปี
- ปรับโครงสร้างองค์กรตามแนวโน้มตลาดแรงงาน
- วางแผนการจ้างงานตามฤดูกาลและความต้องการ
- ประเมินผลตอบแทนและสวัสดิการให้แข่งขันได้
- ปรับกลยุทธ์ธุรกิจ
- คาดการณ์แนวโน้มตลาดและความต้องการสินค้า
- ปรับกลยุทธ์ตามสภาวะแรงงานและเศรษฐกิจ
- วางแผนการผลิตและการจัดจำหน่าย
- ประเมินความสามารถในการแข่งขัน
- ปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงาน
- วางแผนการลงทุนในเทคโนโลยีและนวัตกรรม
กลุ่มธนาคารกลาง
- ตัดสินใจปรับดอกเบี้ย
- ประเมินความเหมาะสมของอัตราดอกเบี้ยปัจจุบัน
- กำหนดทิศทางนโยบายการเงินระยะสั้นและระยะยาว
- วิเคราะห์ผลกระทบต่อเสถียรภาพทางการเงิน
- ประเมินความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อ
- พิจารณาความสมดุลระหว่างการเติบโตและเสถียรภาพ
- ติดตามผลกระทบของนโยบายต่อตลาดแรงงาน
- กำหนดนโยบายการเงิน
- ประเมินความจำเป็นในการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ
- สะท้อนประสิทธิผลของนโยบายการเงินที่ผ่านมา
- กำหนดเป้าหมายการจ้างงานและเงินเฟ้อ
- วางแผนการสื่อสารนโยบายต่อสาธารณะ
- ประสานงานกับนโยบายการคลัง
- รักษาเสถียรภาพของระบบการเงิน
กลุ่มนักวิเคราะห์
- วิเคราะห์แนวโน้มเศรษฐกิจ
- สะท้อนภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯ และผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก
- ชี้วัดสุขภาพตลาดแรงงานและแนวโน้มการจ้างงาน
- ประเมินกำลังซื้อผู้บริโภคและการบริโภคภาคเอกชน
- วิเคราะห์ความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจ
- ประเมินประสิทธิภาพของนโยบายเศรษฐกิจ
- คาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจ
- คาดการณ์ทิศทางตลาด
- ติดตามการเคลื่อนไหวของตลาดเงินและตลาดทุน
- วิเคราะห์ผลกระทบต่อสินทรัพย์ประเภทต่างๆ
- ประเมินความเชื่อมั่นนักลงทุนและการไหลเวียนของเงินทุน
- วิเคราะห์ผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานโลก
- ติดตามการเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้าโภคภัณฑ์
- ประเมินผลกระทบต่อการค้าระหว่างประเทศ
ข้อมูล ADP มีความสำคัญอย่างมากต่อทุกภาคส่วน และการเข้าใจการนำไปใช้ของแต่ละกลุ่มจะช่วยให้เราวางแผนการลงทุนได้มีประสิทธิภาพมากขึ้นค่ะ
ตัวเลขการเปลี่ยนแปลงการจ้างงานโดยรวม
- เมื่อคุณเปิดรายงาน ADP สิ่งแรกที่จะเห็นคือตัวเลขการเปลี่ยนแปลงการจ้างงาน
- เช่น +200,000 หรือ -150,000 ตำแหน่ง
- ตัวเลขนี้เปรียบเสมือน “อุณหภูมิร่างกาย” ของตลาดแรงงาน
- หากเห็นเครื่องหมายบวก (+) แสดงว่าเศรษฐกิจกำลังสร้างงานใหม่
- เช่น ถ้าตัวเลขแสดง +200,000 หมายความว่ามีการจ้างงานเพิ่มขึ้น 200,000 ตำแหน่ง เมื่อเทียบกับเดือนก่อน
- เป็นสัญญาณที่ดี บ่งบอกว่าบริษัทต่างๆ มีความเชื่อมั่นพอที่จะขยายธุรกิจและจ้างพนักงานเพิ่ม
- ในทางตรงกันข้าม หากเห็นเครื่องหมายลบ (-)
- เช่น -150,000 นั่นหมายถึงมีการสูญเสียงานไป 150,000 ตำแหน่ง
- อาจเป็นสัญญาณว่าบริษัทกำลังระมัดระวังเรื่องค่าใช้จ่าย หรือเศรษฐกิจอาจกำลังชะลอตัว
ยกตัวอย่าง 5 เหตุการณ์ที่ส่งผลรุนแรงต่อตัวเลข ADP
5 วิกฤตที่ทำให้ตัวเลข ADP สะเทือน
- วิกฤตโควิด-19 (2020) – สูญเสีย 27 ล้านตำแหน่ง
- การปิดเมืองทั่วโลกกระทบธุรกิจทุกภาคส่วน
- เกิดการ Work From Home ครั้งใหญ่
- ธุรกิจบริการและท่องเที่ยวได้รับผลกระทบรุนแรง
- เร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงดิจิทัล
- วิกฤตการเงิน (2008) – สูญเสีย 631,000 ตำแหน่ง
- ตลาดอสังหาริมทรัพย์และสถาบันการเงินล่ม
- เกิดการเลิกจ้างงานครั้งใหญ่ในภาคการเงิน
- รัฐต้องอัดฉีดเงินช่วยเหลือมหาศาล
- ส่งผลกระทบไปทั่วโลก
- วิกฤต Dot-com (2001) – สูญเสีย 325,000 ตำแหน่ง
- ฟองสบู่เทคโนโลยีแตก
- บริษัทดอทคอมล้มละลายจำนวนมาก
- เกิดการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมเทคโนโลยี
- นักลงทุนสูญเงินมหาศาล
- Black Monday (1987) – สูญเสีย 312,000 ตำแหน่ง
- ตลาดหุ้นทั่วโลกร่วงรุนแรง
- ความเชื่อมั่นนักลงทุนหายไป
- ภาคธุรกิจชะลอการจ้างงาน
- เกิดการปฏิรูประบบการเงิน
- โควิดระลอก2 (2021) – สูญเสีย 203,000 ตำแหน่ง
- ธุรกิจยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่
- เกิดปัญหาห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก
- แรงงานเปลี่ยนอาชีพครั้งใหญ่
- เร่งให้เกิดการปรับตัวทางธุรกิจ
ผลกระทบลูกโซ่จากการลดการจ้างงาน
แต่ละเหตุการณ์ส่งผลให้
- คนตกงานจำนวนมาก
- เศรษฐกิจถดถอยรุนแรง
- ต้องใช้มาตรการฉุกเฉิน
- เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
- ใช้เวลาฟื้นตัวนาน
สิ่งที่น่าสนใจ
- แต่ละวิกฤตมีรูปแบบการฟื้นตัวต่างกัน
- มาตรการรับมือของรัฐบาลพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ
- เทคโนโลยีมีบทบาทสำคัญในการฟื้นตัว
- ตลาดแรงงานต้องปรับตัวครั้งใหญ่ทุกครั้ง
วันและเวลาประกาศ รายงานการจ้างงานแห่งชาติ เอดีพี
- วัน: ประกาศทุกวันพุธแรกของเดือน
- เวลา: 20:15 น. (ตามเวลาประเทศไทย)
- วันก่อน NFP: ออกก่อนตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร (NFP) 2 วัน
ความสำคัญของช่วงเวลา
รายงาน ADP มักถูกจับตามองเป็นพิเศษเพราะเป็นตัวชี้นำก่อนการประกาศตัวเลข NFP ในวันศุกร์ ตัวอย่างเช่น
- วันพุธที่ 3 มกราคม 2024 – ประกาศ ADP
- วันศุกร์ที่ 5 มกราคม 2024 – ประกาศ NFP
ลำดับเหตุการณ์ในวันประกาศ
- ช่วงก่อนประกาศ (18:00-20:00 น.)
- ตลาดเริ่มมีความผันผวน
- นักลงทุนเตรียมรับข้อมูล
- ปริมาณการซื้อขายเริ่มเบาบาง
- ช่วงประกาศ (20:15 น.)
- ข้อมูลถูกเผยแพร่ทางเว็บไซต์ ADP
- ตลาดมีการตอบสนองทันที
- ความผันผวนสูงในช่วง 5-15 นาทีแรก
- ช่วงหลังประกาศ (20:30-22:00 น.)
- นักวิเคราะห์เริ่มออกความเห็น
- ตลาดเริ่มปรับตัวตามข้อมูล
- ปริมาณการซื้อขายกลับมาปกติ
ข้อควรระวังในวันประกาศ
- สำหรับนักลงทุน:
- ควรเตรียมพร้อมก่อนเวลาประกาศอย่างน้อย 30 นาที
- ระวังความผันผวนสูงในช่วงแรก
- ไม่ควรรีบร้อนตัดสินใจซื้อขายทันที
- สำหรับนักเทรดระยะสั้น:
- ควรตั้ง Stop Loss ให้กว้างกว่าปกติ
- อาจหลีกเลี่ยงการเทรดในช่วงประกาศ
- รอให้ตลาดนิ่งก่อนเข้าเทรดใหม่
แหล่งติดตามข้อมูล
- แหล่งข้อมูลหลัก:
- เว็บไซต์ ADP โดยตรง
- Bloomberg Terminal
- Reuters
- แหล่งข้อมูลรอง:
- Forex Factory
- Investing.com
- Trading Economics
เกร็ดความรู้สำหรับการติดตาม
- ควรติดตามตัวเลขคาดการณ์ล่วงหน้า
- เตรียมดูข้อมูลย้อนหลัง 3-6 เดือน
- สังเกตการปรับแก้ตัวเลขเดือนก่อนหน้า
- เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
การติดตามรายงาน ADP อย่างเป็นระบบจะช่วยให้นักลงทุนสามารถวางแผนและตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วง 2 วันก่อนการประกาศตัวเลข NFP ซึ่งถือเป็นข้อมูลสำคัญที่ตลาดการเงินทั่วโลกจับตามอง
การคำนวณและวิธีการเก็บข้อมูล ADP National Employment Report ในการเทรด Forex
ADP รวบรวมข้อมูลจากฐานลูกค้าบริษัทกว่า 460,000 แห่งทั่วประเทศสหรัฐฯ ซึ่งครอบคลุมพนักงานมากกว่า 26 ล้านคน โดยใช้ระบบการจ่ายเงินเดือนเป็นฐานข้อมูลหลัก ทำให้ข้อมูลมีความแม่นยำสูงเพราะเป็นตัวเลขจริงจากการจ่ายเงินเดือน
การคำนวณตัวเลขการจ้างงาน
- การคำนวณจะดูจากการเปลี่ยนแปลงสุทธิของการจ้างงาน
- เช่น ถ้าบริษัทหนึ่งมีพนักงาน 100 คนในเดือนก่อน แล้วเดือนนี้รับพนักงานเพิ่ม 5 คน แต่มีคนลาออก 2 คน การเปลี่ยนแปลงสุทธิจะเท่ากับ +3 คน
- ADP จะรวบรวมตัวเลขเหล่านี้จากทุกบริษัทในเครือข่าย
การปรับค่าตามฤดูกาล
- ตัวเลขจะถูกปรับตามฤดูกาล เช่น ในช่วงเทศกาลคริสต์มาส มักมีการจ้างงานชั่วคราวเพิ่มขึ้นมาก
- ADP จะหักค่าเฉลี่ยการจ้างงานช่วงเทศกาลออก เพื่อให้เห็นแนวโน้มที่แท้จริง
การนำไปใช้ในการเทรด Forex
ก่อนประกาศ:
- ตลาดมักจะเงียบและมีความผันผวนน้อย
- Spread จะกว้างขึ้น 2-3 เท่า
- นักเทรดควรระวังการเปิดออเดอร์ใหม่
ระหว่างประกาศ:
- ตลาดจะมีความผันผวนสูงมากใน 5-15 นาทีแรก
- ราคาอาจเคลื่อนที่รุนแรง 50-100 pips ในไม่กี่วินาที
- ควรตั้ง Stop Loss กว้างกว่าปกติ
หลังประกาศ:
- ตลาดจะเริ่มนิ่งขึ้นหลังผ่านไป 30 นาที
- นักวิเคราะห์จะเริ่มออกบทวิเคราะห์ผลกระทบ
- เป็นช่วงที่เหมาะกับการเข้าเทรดมากกว่า
ตัวอย่างการเคลื่อนไหวของตลาด
ยกตัวอย่างเช่น ในเดือนมีนาคม 2023:
- ตลาดคาดการณ์: +200,000 ตำแหน่ง
- ตัวเลขจริง: +145,000 ตำแหน่ง (แย่กว่าคาด)
- EUR/USD เคลื่อนไหวดังนี้:
- ก่อนประกาศอยู่ที่ 1.0900
- หลังประกาศพุ่งขึ้นไปที่ 1.0950
- หลังผ่านไป 1 ชั่วโมงขึ้นไปถึง 1.0970
กลยุทธ์การเทรด
เมื่อตัวเลขออกมาแย่กว่าคาด
- ดอลลาร์มักจะอ่อนค่า
- อาจเปิดสถานะ Buy EUR/USD
- ควรตั้ง Stop Loss ประมาณ 30-50 pips
- Take Profit ควรตั้งที่ 2-3 เท่าของ Stop Loss
เมื่อตัวเลขดีกว่าคาด
- ดอลลาร์มักจะแข็งค่า
- อาจเปิดสถานะ Sell EUR/USD
- ใช้หลักการ Stop Loss และ Take Profit เช่นเดียวกัน
การจัดการความเสี่ยง
- ไม่ควรใช้เงินลงทุนเกิน 1-2% ของพอร์ตต่อการเทรดหนึ่งครั้ง
- ควรรอให้ตลาดนิ่งก่อนเข้าเทรด
- อาจใช้การเปิดออเดอร์หลายๆ ล็อตเพื่อทยอยปิดกำไร
- ควรมีแผนสำรองหากตลาดไม่เป็นไปตามคาด
การเปรียบเทียบระหว่าง ADP National Employment Report กับ Nonfarm Payrolls
จากกราฟจะเห็นว่า
- มีความผันผวนรุนแรงในช่วงวิกฤต COVID-19 (2020)
- หลังจากนั้นเริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้น
- แนวโน้มปัจจุบันของทั้ง ADP และ NFP เริ่มเข้าสู่ภาวะปกติ
มีประเด็นสำคัญดังนี้
1. ความแตกต่างของข้อมูล:
- USEC (ADP) = ADP National Employment Report ( +102.61%)
- USNFP = Nonfarm Payrolls (-94.42% ซึ่งมีความแตกต่างกันค่อนข้างมาก)
- 🔵 USEC (US Employment Change)
- คือ สัญลักษณ์ของรายงาน ADP National Employment Report
- เป็นรายงานการเปลี่ยนแปลงการจ้างงานภาคเอกชนของสหรัฐฯ
- เป็นรายงานการจ้างงานภาคเอกชนที่จัดทำโดยบริษัท ADP
- วัดเฉพาะการจ้างงานในภาคเอกชน
- เก็บข้อมูลจากฐานลูกค้าของ ADP ประมาณ 460,000 บริษัท
- ประกาศทุกวันพุธแรกของเดือน เวลา 20:15 น. (ไทย)
- เป็นตัวชี้นำก่อน NFP 2 วัน
- 🔴 USNFP (US Non-Farm Payrolls)
- คือ สัญลักษณ์ของรายงานการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ
- เป็นรายงานการจ้างงานนอกภาคการเกษตรจากกระทรวงแรงงานสหรัฐฯ
- ครอบคลุมทั้งภาครัฐและเอกชน
- เก็บข้อมูลจากการสำรวจครัวเรือนและนายจ้างทั่วประเทศ
- ถือเป็นตัวเลขทางการที่นักลงทุนให้น้ำหนักมากกว่า
- เป็นตัวเลขทางการจากกระทรวงแรงงานสหรัฐฯ
- ประกาศทุกวันศุกร์แรกของเดือน เวลา 20:30 น. (ไทย)
- รวมข้อมูลทั้งภาคเอกชนและภาครัฐ (ยกเว้นภาคเกษตร)
2. ทำไมตัวเลขถึงต่างกัน?
- เนื่องจากมีวิธีการเก็บข้อมูลต่างกัน มีกลุ่มตัวอย่างไม่เหมือนกัน
- ADP ไม่นับรวมภาครัฐ
- ช่วงเวลาการเก็บข้อมูลอาจต่างกัน
ข้อแตกต่างที่สำคัญ
- USEC (ADP) ดูเฉพาะภาคเอกชน
- USNFP ดูทั้งภาครัฐและเอกชน
- USEC ประกาศก่อน USNFP 2 วัน
- USNFP มีผลต่อตลาดมากกว่า เพราะเป็นตัวเลขทางการ
การนำไปใช้
- นักเทรดมักใช้ USEC เป็นตัวคาดการณ์ USNFP
- ถ้าทั้งสองตัวออกมาทิศทางเดียวกัน = สัญญาณชัดเจน
- ถ้าขัดแย้งกัน = ต้องระวังในการเทรด
- ผลกระทบต่อตลาด:
- NFP มีผลต่อตลาดมากกว่าเพราะเป็นตัวเลขทางการ
- นักลงทุนมักใช้ ADP เป็นตัวคาดการณ์ NFP
- หากตัวเลขทั้งสองต่างกันมาก อาจทำให้ตลาดผันผวน
เจาะลึกจำลองเพื่อเน้นจุดสำคัญ ทำให้เข้าใจง่ายขึ้น
- ช่วงก่อน COVID-19 (2017-2019)
- ตลาดแรงงานมีเสถียรภาพสูง
- ADP และ NFP มีความสอดคล้องกัน
- การเติบโตของการจ้างงานเป็นไปอย่างต่อเนื่อง
- ช่วงวิกฤต COVID-19 (2020)
- เกิดการดิ่งลงอย่างรุนแรงของทั้ง ADP และ NFP
- ADP ลดลง -102.61%
- NFP ลดลง -94.42%
- สะท้อนผลกระทบรุนแรงต่อตลาดแรงงาน
- ช่วงฟื้นตัว (2021-ปัจจุบัน)
- การฟื้นตัวแบบ V-Shape ที่รวดเร็ว
- ความผันผวนลดลงอย่างต่อเนื่อง
- ทั้ง ADP และ NFP เริ่มมีความสอดคล้องกันมากขึ้น
- แนวโน้มปัจจุบัน
- ตลาดแรงงานกลับเข้าสู่ภาวะปกติ
- ความแตกต่างระหว่าง ADP และ NFP ลดลง
- สะท้อนการฟื้นตัวที่มั่นคงของเศรษฐกิจ
- สิ่งที่น่าสังเกต
-
- ADP มักจะมีความผันผวนมากกว่า NFP
- ช่วงวิกฤตเห็นความแตกต่างชัดเจนที่สุด
ถึงแม้ตัวเลขจะต่างกัน แต่ทั้ง ADP และ NFP ต่างก็เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้เราเข้าใจภาพรวมของตลาดแรงงานสหรัฐฯ ได้ดีขึ้น
ข้อดีข้อเสีย ADP National Employment Report
ข้อดี
- เป็นตัวชี้นำตลาดแรงงานสหรัฐฯ ก่อนประกาศตัวเลขทางการ 2 วัน
- ครอบคลุมข้อมูลบริษัทเอกชนขนาดใหญ่กว่า 460,000 แห่ง
- ดูแลข้อมูลพนักงานมากกว่า 26 ล้านคนทั่วประเทศ
- แบ่งข้อมูลตามขนาดธุรกิจทำให้เห็นภาพชัดเจน (เล็ก/กลาง/ใหญ่)
- แยกตามภาคอุตสาหกรรมทำให้วิเคราะห์เชิงลึกได้
- ใช้ระบบอัตโนมัติในการเก็บข้อมูลทำให้แม่นยำ
- มีความน่าเชื่อถือสูงเพราะเป็นข้อมูลจริงจากระบบจ่ายเงินเดือน
- ประกาศสม่ำเสมอทุกวันพุธแรกของเดือน
- นักลงทุนใช้คาดการณ์ทิศทางตลาดได้ล่วงหน้า
- ช่วยให้เห็นแนวโน้มการจ้างงานในระยะยาว
- สะท้อนสุขภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในภาพรวม
- เป็นเครื่องมือสำคัญในการวิเคราะห์การลงทุน
- ช่วยคาดการณ์นโยบายการเงินของ Fed
- มีผลต่อการเคลื่อนไหวของค่าเงินดอลลาร์
- ทำให้เห็นการเปลี่ยนแปลงตลาดแรงงานได้รวดเร็ว
- ช่วยในการวางแผนธุรกิจและการลงทุน
- เป็นข้อมูลที่เข้าถึงได้ง่ายและไม่มีค่าใช้จ่าย
- มีการวิเคราะห์และอธิบายตัวเลขอย่างละเอียด
- เป็นที่ยอมรับในระดับสากล
- มีความต่อเนื่องและน่าเชื่อถือมายาวนาน
ข้อเสีย
- ครอบคลุมเฉพาะบริษัทที่เป็นลูกค้า ADP เท่านั้น
- ไม่รวมข้อมูลการจ้างงานภาครัฐ
- ไม่รวมภาคเกษตรทำให้ภาพไม่สมบูรณ์
- อาจคลาดเคลื่อนจากตัวเลขทางการค่อนข้างมาก
- มีการปรับแก้ตัวเลขย้อนหลังบ่อยครั้ง
- อาจไม่สะท้อนภาพรวมทั้งประเทศ 100%
- ขึ้นอยู่กับความสมัครใจในการให้ข้อมูลของบริษัท
- ข้อมูลบางส่วนอาจไม่เป็นปัจจุบัน
- การตีความตัวเลขต้องใช้ความรู้เฉพาะทาง
- อาจสร้างความผันผวนให้ตลาดหากคลาดเคลื่อนมาก
- ไม่ได้แยกประเภทการจ้างงานอย่างละเอียด
- ข้อมูลบางส่วนอาจมีอคติจากการเลือกกลุ่มตัวอย่าง
- อาจถูกใช้ในทางที่ผิดเพื่อสร้างความผันผวน
- ไม่ได้รวมแรงงานนอกระบบ
- ปรับตัวช้าต่อการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างแรงงาน
- อาจมีความล่าช้าในการรวบรวมข้อมูล
- ไม่สะท้อนคุณภาพของการจ้างงาน
- ไม่ได้แสดงรายละเอียดด้านค่าจ้าง
- อาจมีข้อจำกัดด้านความครอบคลุมทางภูมิศาสตร์
- ขาดข้อมูลเชิงคุณภาพประกอบการวิเคราะห์
ผลกระทบของรายงาน ADP ต่อตลาดการเงิน: ก่อน ระหว่าง และหลังประกาศ
ผลกระทบของรายงาน ADP National Employment Report ต่อตลาดการเงินนั้นเริ่มตั้งแต่ก่อนวันประกาศ โดยในช่วง 1-2 วันก่อนการประกาศ ตลาดจะเริ่มมีความเคลื่อนไหว นักลงทุนส่วนใหญ่จะเริ่มระมัดระวังการลงทุนมากขึ้น หลายคนอาจลดขนาดการลงทุนลงหรือปิดสถานะบางส่วนเพื่อลดความเสี่ยง ปริมาณการซื้อขายในตลาดจะเริ่มเบาบางลง เพราะนักลงทุนส่วนใหญ่ต้องการรอดูตัวเลขก่อนตัดสินใจ
ในช่วงนี้ นักวิเคราะห์จากสถาบันการเงินต่างๆ จะเริ่มออกบทวิเคราะห์และคาดการณ์ตัวเลขที่จะประกาศ นักลงทุนมืออาชีพจะใช้เวลาในการศึกษาตัวเลขย้อนหลัง 3-6 เดือน เพื่อดูแนวโน้มและเตรียมกลยุทธ์สำหรับหลายสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น บางคนอาจตั้งการแจ้งเตือน (Alert) เพื่อติดตามความเคลื่อนไหวของตลาดอย่างใกล้ชิด
พอมาถึงวันประกาศ ซึ่งจะเป็นวันพุธแรกของทุกเดือน ตั้งแต่ช่วงเช้าจนถึงก่อนเวลาประกาศ (20:15 น. ตามเวลาไทย) ตลาดมักจะเคลื่อนไหวในกรอบแคบๆ เพราะนักลงทุนส่วนใหญ่รอดูตัวเลขก่อนตัดสินใจ สภาพคล่องในตลาดจะลดลงอย่างเห็นได้ชัด ส่วนต่างราคาซื้อ-ขาย (Spread) อาจกว้างขึ้นกว่าปกติ
ช่วงเวลาสำคัญที่สุด คือ ตอนประกาศตัวเลข (20:15 น.) ตลาดจะมีความผันผวนสูงมากในช่วง 5-15 นาทีแรกหลังประกาศ โดยเฉพาะถ้าตัวเลขที่ประกาศออกมาแตกต่างจากที่ตลาดคาดการณ์ไว้มาก ราคาสินทรัพย์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นค่าเงินดอลลาร์ ทองคำ หรือดัชนีหุ้น อาจเคลื่อนไหวอย่างรุนแรงและรวดเร็ว
หลังจากการประกาศประมาณ 30 นาทีถึง 1 ชั่วโมง ตลาดจะเริ่มปรับตัวเข้าสู่ภาวะปกติ นักวิเคราะห์จะเริ่มออกบทวิเคราะห์เชิงลึกถึงผลกระทบของตัวเลขที่ประกาศ และนักลงทุนจะเริ่มปรับกลยุทธ์การลงทุนตามข้อมูลใหม่ที่ได้รับ ผลกระทบของตัวเลข ADP จะส่งผลต่อเนื่องไปจนถึงการประกาศตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร (NFP) ในวันศุกร์
สรุปข้อมูลให้เข้าใจง่ายๆ
ช่วงก่อนประกาศ (1-2 วันก่อนหน้า)
- นักลงทุนเริ่มระมัดระวังและลดขนาดการลงทุนลง
- ปริมาณการซื้อขายในตลาดเบาบางลง
- นักวิเคราะห์จากสถาบันการเงินออกบทวิเคราะห์คาดการณ์
- นักลงทุนมืออาชีพศึกษาข้อมูลย้อนหลัง 3-6 เดือน
- มีการตั้งการแจ้งเตือนเพื่อติดตามตลาด
ช่วงวันประกาศ (วันพุธแรกของเดือน)
- ตลาดเคลื่อนไหวในกรอบแคบๆ ช่วงเช้าถึงก่อนประกาศ
- สภาพคล่องในตลาดลดลงชัดเจน
- Spread (ส่วนต่างราคาซื้อ-ขาย) กว้างขึ้นกว่าปกติ
- ความผันผวนสูงมากในช่วง 5-15 นาทีแรกหลังประกาศ
- ราคาสินทรัพย์อาจเคลื่อนไหวรุนแรงหากตัวเลขต่างจากคาด
ช่วงหลังประกาศ (30 นาที – 1 ชั่วโมง)
- ตลาดเริ่มปรับตัวเข้าสู่ภาวะปกติ
- นักวิเคราะห์ออกบทวิเคราะห์เชิงลึก
- นักลงทุนปรับกลยุทธ์ตามข้อมูลใหม่
- ผลกระทบต่อเนื่องจนถึงประกาศ NFP วันศุกร์
- มีการวิเคราะห์การกระจายตัวของการจ้างงานแต่ละภาคส่วน
ผลกระทบต่อตลาดต่างๆ
- Forex: คู่เงิน EUR/USD, USD/JPY, GBP/USD เคลื่อนไหวชัดเจน
- ทองคำ: ราคามักปรับลงเมื่อตัวเลขออกมาดี
- หุ้น: S&P 500 และ Dow Jones ตอบสนองต่อตัวเลขการจ้างงาน
- พันธบัตร: อัตราผลตอบแทนปรับตัวตามตัวเลขที่ประกาศ
- หุ้นรายกลุ่ม: แต่ละกลุ่มอุตสาหกรรมตอบสนองต่างกัน
ผลต่อนโยบายและการตัดสินใจ
- Fed ใช้ประกอบการตัดสินใจนโยบายการเงิน
- ผู้ประกอบการใช้วางแผนธุรกิจและการลงทุน
- นักลงทุนปรับกลยุทธ์การลงทุนระยะกลางถึงยาว
- มีผลต่อการคาดการณ์ทิศทางอัตราดอกเบี้ย
- กระทบการวางแผนธุรกิจส่งออก-นำเข้า
สำหรับนักลงทุนที่ต้องการทำกำไรจากการประกาศตัวเลข ADP ต้องมีการเตรียมตัวที่ดี ควรศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างตัวเลขที่ประกาศกับการเคลื่อนไหวของตลาดย้อนหลัง และที่สำคัญต้องมีการบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสม เพราะความผันผวนที่สูงอาจนำมาซึ่งทั้งโอกาสและความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น
ความสัมพันธ์ของ ADP กับดัชนีเศรษฐกิจสำคัญ
ถ้าเราจะดูสุขภาพเศรษฐกิจที่แท้จริง เราต้องดูหลายๆ ตัวประกอบกัน ไม่ใช่แค่ดูตัวเลขการจ้างงาน (ADP) อย่างเดียว เหมือนหมอที่ต้องตรวจคนไข้หลายๆ อย่างไม่ใช่แค่วัดไข้อย่างเดียว ซึ่งมาดูแต่ละส่วนกัน
เรื่อง GDP กับการจ้างงาน
เปรียบเหมือนวงล้อที่หมุนเสริมแรงกัน เมื่อเศรษฐกิจเติบโต (GDP สูง) บริษัทต่างๆ ก็มีกำไรมากขึ้น นำไปสู่การขยายธุรกิจและจ้างพนักงานเพิ่ม พอคนมีงานทำมากขึ้น ก็มีเงินไปจับจ่ายใช้สอย ทำให้เศรษฐกิจยิ่งเติบโต
- ถ้าเศรษฐกิจดี(GDP สูง) คนก็มีงานทำเยอะ
- ถ้าคนมีงานทำเยอะ เศรษฐกิจก็ยิ่งดี
- เหมือนลูกโซ่ที่ส่งผลต่อกันไปมา
ยกตัวอย่างให้เห็นภาพ:
- เมื่อ GDP โต 3%
- บริษัทเทคโนโลยีขยายออฟฟิศใหม่
- ห้างสรรพสินค้าเปิดสาขาเพิ่ม
- โรงงานเพิ่มกำลังการผลิต
- → นำไปสู่การจ้างงานใหม่หลายแสนตำแหน่ง
- วงจรความสัมพันธ์:
GDP สูง → บริษัทกำไรดี → จ้างงานเพิ่ม → คนมีรายได้ → ใช้จ่ายมากขึ้น → เศรษฐกิจเติบโต → GDP สูงขึ้นไปอีก
- ในทางกลับกัน:
ถ้า GDP ติดลบ → บริษัทประสบปัญหา → ลดการจ้างงาน → คนตกงาน → กำลังซื้อหาย → เศรษฐกิจชะลอ → GDP ยิ่งแย่
ผลกระทบต่อการลงทุน:
- เมื่อเห็นตัวเลข GDP ดี นักลงทุนมักมองหาหุ้นในกลุ่ม:
- ค้าปลีก (เพราะคนมีกำลังซื้อ)
- อสังหาริมทรัพย์ (คนกล้าซื้อบ้าน)
- ธนาคาร (ธุรกิจกู้เงินขยายกิจการ)
สิ่งที่ต้องระวัง: การเติบโตต้องสมดุล ถ้า GDP โตเร็วเกินไป อาจนำไปสู่:
- เงินเฟ้อพุ่ง
- ฟองสบู่ในตลาดสินทรัพย์
- การขึ้นดอกเบี้ยของ Fed
- ต้นทุนการกู้ยืมที่สูงขึ้น
เรื่องเงินเฟ้อกับค่าจ้าง (ความเชื่อมั่นผู้บริโภค)
เมื่อเงินเฟ้อพุ่ง ผลกระทบต่อการจ้างงาน
- ต้นทุนวัตถุดิบสูงขึ้น
- ค่าไฟ ค่าน้ำมันแพงขึ้น
- บริษัทมีภาระค่าใช้จ่ายมากขึ้น
- อาจต้องลดการจ้างงานเพื่อควบคุมต้นทุน
- พนักงานเรียกร้องขึ้นเงินเดือนตามค่าครองชีพ
เมื่อการจ้างงานสูงเกินไป
- เกิดการแย่งตัวแรงงาน
- บริษัทต้องเพิ่มค่าจ้างเพื่อรักษาพนักงาน
- ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น
- ราคาสินค้าและบริการต้องปรับตัวขึ้นตาม
- เกิดภาวะเงินเฟ้อจากต้นทุน (Cost-Push Inflation)
บทบาทของ Fed: Fed จะคอยสังเกตความสัมพันธ์นี้อย่างใกล้ชิด
- ถ้าเงินเฟ้อสูงเกินเป้า (2%) → พิจารณาขึ้นดอกเบี้ย
- ถ้าการจ้างงานร้อนแรงเกินไป → อาจต้องใช้นโยบายการเงินเข้มงวด
- ต้องรักษาสมดุลระหว่างการเติบโตและเสถียรภาพ
เรื่องยอดขายปลีก (ยอดค้าปลีกกับการจ้างงาน)
เมื่อการจ้างงานดี ส่งผลต่อการค้าปลีก
- คนมีรายได้ประจำ มั่นใจในการใช้จ่าย
- กล้าซื้อสินค้าฟุ่มเฟือยมากขึ้น
- ห้างสรรพสินค้าและร้านค้าคึกคัก
- ยอดขายออนไลน์เติบโต
- การใช้จ่ายในหมวดบันเทิงเพิ่มขึ้น
เมื่อยอดค้าปลีกดี ส่งผลต่อการจ้างงาน
- ร้านค้าต้องเพิ่มพนักงานขาย
- ศูนย์กระจายสินค้าต้องจ้างคนเพิ่ม
- ต้องการพนักงานส่งของมากขึ้น
- เปิดสาขาใหม่ → จ้างงานเพิ่ม
- ขยายคลังสินค้า → เพิ่มแรงงาน
สัญญาณที่นักลงทุนควรจับตา
- ติดตามรายงานยอดค้าปลีกรายเดือน
- สังเกตแนวโน้มการจ้างงานภาคค้าปลีก
- ดูความเชื่อมั่นผู้บริโภค
- มองหาโอกาสลงทุนในหุ้นค้าปลีก
- วิเคราะห์ฤดูกาลการจ้างงาน
สรุปง่ายๆ คือ ถ้าอยากรู้ว่าเศรษฐกิจจะไปทางไหน ต้องดูหลายๆ อย่างประกอบกัน เหมือนต่อจิ๊กซอว์ที่ต้องดูหลายๆ ชิ้นถึงจะเห็นภาพรวมชัดเจน ไม่ใช่ดูแค่ตัวเลขการจ้างงานอย่างเดียว นั้นเอง
ปัจจัยที่ส่งผลต่อ ADP National Employment Report
ปัจจัยด้านเศรษฐกิจมหภาค เปรียบเสมือนสุขภาพโดยรวมของประเทศ
เช่น
- ถ้าเศรษฐกิจโตดี (GDP สูง) บริษัทต่างๆ มักจะจ้างคนเพิ่ม
- หากเงินเฟ้อสูง อาจทำให้บริษัทระวังการจ้างงานมากขึ้น
- ดอกเบี้ยสูงทำให้ธุรกิจกู้เงินยากขึ้น อาจชะลอการจ้างงาน
ปัจจัยด้านตลาดแรงงาน เกี่ยวกับคนทำงานโดยตรง
เช่น
- ถ้าค่าแรงสูงขึ้น บริษัทอาจจ้างคนน้อยลง
- หากมีคนว่างงานเยอะ อาจแสดงถึงเศรษฐกิจไม่ดี
- ถ้าแรงงานมีทักษะตรงความต้องการ การจ้างงานจะเพิ่ม
ปัจจัยด้านภาคธุรกิจ เป็นเรื่องของบริษัทและการดำเนินธุรกิจ
- ถ้าบริษัทมีกำไรดี มักจะขยายกิจการและจ้างคนเพิ่ม
- หากธุรกิจเชื่อมั่นในอนาคต จะกล้าลงทุนและจ้างงานมากขึ้น
- ธุรกิจที่กำลังเติบโตต้องการแรงงานใหม่เพิ่มเสมอ
ปัจจัยด้านการเมืองและนโยบาย ผลจากการตัดสินใจของรัฐบาล
- นโยบายลดภาษีอาจทำให้บริษัทมีเงินจ้างคนมากขึ้น
- กฎหมายแรงงานใหม่อาจส่งผลต่อการตัดสินใจจ้างงาน
- มาตรการช่วยเหลือธุรกิจอาจกระตุ้นการจ้างงาน
ปัจจัยตามฤดูกาล การเปลี่ยนแปลงตามช่วงเวลาของปี
- ช่วงคริสต์มาสมักมีการจ้างงานชั่วคราวเพิ่ม
- ฤดูร้อนอาจมีงานพาร์ทไทม์สำหรับนักศึกษามากขึ้น
- ช่วงท่องเที่ยวมีการจ้างงานในภาคบริการเพิ่มขึ้น
ปัจจัยจากต่างประเทศ เหตุการณ์นอกสหรัฐฯ ที่ส่งผลต่อการจ้างงาน
- สงครามการค้ากับจีนอาจกระทบการจ้างงานภาคการผลิต
- วิกฤตในยุโรปอาจทำให้บริษัทระมัดระวังการจ้างงาน
- ราคาน้ำมันโลกสูงอาจทำให้ต้นทุนเพิ่มและจ้างงานน้อยลง
ปัจจัยด้านเทคโนโลยี การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่กระทบการจ้างงาน
- หุ่นยนต์และ AI อาจทดแทนแรงงานบางประเภท
- งานออนไลน์ทำให้รูปแบบการจ้างงานเปลี่ยนไป
- ความต้องการคนที่มีทักษะดิจิทัลเพิ่มขึ้น
ปัจจัยด้านประชากรศาสตร์ เกี่ยวกับโครงสร้างประชากรในประเทศ
- คนรุ่นเบบี้บูมเมอร์เกษียณมากขึ้น ต้องหาคนทดแทน
- คนรุ่นใหม่เข้าสู่ตลาดแรงงานน้อยลง
- การย้ายถิ่นของแรงงานต่างชาติมีผลต่อตลาดแรงงาน
ปัจจัยด้านสังคม พฤติกรรมและค่านิยมของคนทำงาน
- คนรุ่นใหม่อยากทำงานแบบยืดหยุ่นมากขึ้น
- การทำงานฟรีแลนซ์เป็นที่นิยมมากขึ้น
- ความสมดุลชีวิตและงานมีความสำคัญมากขึ้น
ปัจจัยด้านสาธารณสุข สถานการณ์ที่กระทบสุขภาพประชาชน
- โควิด-19 ทำให้รูปแบบการจ้างงานเปลี่ยนไป
- มาตรการล็อกดาวน์กระทบการจ้างงานโดยตรง
- นโยบายด้านสุขภาพมีผลต่อต้นทุนการจ้างงาน
ADP National Employment Report: ใครได้รับผลกระทบมากที่สุด?
รู้หรือไม่ว่าตัวเลขการจ้างงานนี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อหลายกลุ่ม แต่ที่ได้รับผลมากที่สุดคือ
- นักลงทุนในตลาด Forex
- เพราะตัวเลขนี้กระทบค่าเงินดอลลาร์โดยตรง
- ถ้าตัวเลขออกมาดี ดอลลาร์มักจะแข็งค่าทันที
- ถ้าตัวเลขแย่ ดอลลาร์ก็จะอ่อนค่าลง
- นักเทรด Forex จึงต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิด เพราะสามารถสร้างกำไรหรือขาดทุนได้ในเวลาอันรวดเร็ว
- นักลงทุนทองคำ
- ทองคำมักเคลื่อนไหวในทิศทางตรงข้ามกับดอลลาร์
- เมื่อการจ้างงานแย่ คนมักหันมาถือทองคำเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย
- นักลงทุนทองคำจึงใช้ตัวเลขนี้ประกอบการตัดสินใจซื้อ-ขาย
- ความผันผวนของราคาทองคำในวันประกาศตัวเลขมักสูงกว่าปกติ
- Federal Reserve (Fed)
- Fed ใช้ข้อมูลนี้ประกอบการตัดสินใจเรื่องดอกเบี้ย
- ถ้าการจ้างงานดี อาจนำไปสู่การขึ้นดอกเบี้ยเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ
- ถ้าการจ้างงานแย่ Fed อาจต้องคงดอกเบี้ยต่ำเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
- การตัดสินใจของ Fed ส่งผลต่อตลาดการเงินทั่วโลก
- ภาคธุรกิจ
- ใช้เป็นสัญญาณบอกทิศทางเศรษฐกิจ
- ช่วยในการวางแผนธุรกิจและการลงทุน
- บอกแนวโน้มต้นทุนค่าแรงในอนาคต
- สะท้อนกำลังซื้อของผู้บริโภค
เหตุผลที่กลุ่มคนเหล่านี้ได้รับผลกระทบมากเป็นพิเศษ เพราะ
- ต้องตัดสินใจเร็วทันทีที่มีข้อมูลใหม่
- มีเงินลงทุนจำนวนมากเกี่ยวข้อง
- ผลกำไร-ขาดทุนขึ้นอยู่กับการคาดการณ์ที่แม่นยำ
- มีผลต่อการวางแผนระยะยาว
ที่สำคัญคือ ผลกระทบจะเห็นได้ชัดที่สุดในช่วง 2-3 ชั่วโมงแรกหลังประกาศตัวเลข เพราะตลาดกำลังปรับตัวรับข้อมูลใหม่ ทำให้เกิดโอกาสทั้งกำไรและความเสี่ยงสูงในช่วงเวลาดังกล่าว
กรณีศึกษาที่สำคัญของ ADP National Employment Report
วิกฤติโควิด-19 (มีนาคม 2020)
- ตัวเลข ADP: ลดลง 27 ล้านตำแหน่ง
- ผลกระทบ: เป็นการลดลงรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์
- ตลาดการเงิน:
- ดอลลาร์อ่อนค่าทันที
- ตลาดหุ้นร่วงแรง
- ทองคำพุ่งขึ้นเป็นประวัติการณ์
ช่วงฟื้นตัวหลังโควิด (กรกฎาคม 2021)
- ตัวเลข ADP: เพิ่มขึ้น 978,000 ตำแหน่ง
- สะท้อน: การฟื้นตัวของเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว
- ตลาด:
- ดัชนี S&P 500 ทำจุดสูงสุดใหม่
- ดอลลาร์แข็งค่า
- ทองคำปรับตัวลง
วิกฤตการเงิน 2008
- ตัวเลข ADP: ลดลงต่อเนื่อง 6 เดือน
- แสดงถึง: ภาวะถดถอยรุนแรงของเศรษฐกิจ
- ผลลัพธ์:
- Fed ลดดอกเบี้ยฉุกเฉิน
- รัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ
- เกิดการเปลี่ยนแปลงในตลาดแรงงานครั้งใหญ่
การฟื้นตัวหลังวิกฤต 2010
- ตัวเลข ADP: เริ่มเป็นบวกครั้งแรกในรอบ 2 ปี
- บ่งชี้: การเริ่มฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
- การตอบสนอง:
- ความเชื่อมั่นนักลงทุนเพิ่มขึ้น
- ตลาดหุ้นเริ่มฟื้นตัว
- ภาคธุรกิจเริ่มลงทุนอีกครั้ง
สรุป
บทสรุปของการเจาะลึก ADP Employment Change ตัวช่วยสำคัญที่จะบอกทิศทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ หลายคนอาจจะเคยได้ยินคำว่า ADP Employment Change หรือ ADP National Employment Report แต่รู้หรือไม่ว่านี่ คือ หนึ่งในตัวชี้วัดเศรษฐกิจที่สำคัญที่สุดของสหรัฐอเมริกา
ลองนึกภาพว่าถ้าเศรษฐกิจเป็นเหมือนร่างกายคน การจ้างงานก็เปรียบเสมือนชีพจรที่บ่งบอกว่าร่างกายนั้นแข็งแรงหรือไม่ และ ADP Employment Change ก็เป็นเหมือนการตรวจชีพจรครั้งแรกก่อนที่หมอ (ในที่นี้คือรัฐบาลสหรัฐฯ) จะมาตรวจอย่างละเอียดอีกครั้ง
ทุกวันพุธแรกของเดือน บริษัท Automatic Data Processing หรือ ADP จะเปิดเผยตัวเลขการเปลี่ยนแปลงการจ้างงานของเดือนที่ผ่านมา โดยข้อมูลนี้มาจากฐานข้อมูลจริงของระบบจ่ายเงินเดือนที่ ADP ดูแลอยู่ ครอบคลุมพนักงานกว่า 26 ล้านคน จากบริษัทเอกชนทั่วประเทศสหรัฐฯ
สิ่งที่ทำให้ตัวเลขนี้มีความพิเศษคือ มันจะออกมาก่อนตัวเลขการจ้างงานทางการ (Non-Farm Payrolls) จากกระทรวงแรงงานสหรัฐฯ ถึง 2 วัน ทำให้นักลงทุนสามารถคาดการณ์ทิศทางตลาดแรงงานได้ล่วงหน้า เหมือนได้เห็น “ตัวอย่างหนัง” ก่อนหนังจะเข้าฉายจริง
อย่างไรก็ตาม ตัวเลขนี้จะไม่นับรวมการจ้างงานในภาคเกษตรและภาครัฐ เพื่อให้เห็นภาพการจ้างงานภาคเอกชนที่แท้จริง เพราะการจ้างงานในภาคเกษตรมักผันผวนตามฤดูกาล และการจ้างงานภาครัฐมักไม่ได้สะท้อนสภาพเศรษฐกิจที่แท้จริง
เปรียบเทียบให้เห็นภาพง่ายๆ ADP Employment Change ก็เหมือนกับ “การวัดไข้” ของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่บอกให้เรารู้เบื้องต้นว่าเศรษฐกิจกำลังร้อน (การจ้างงานเพิ่ม) หรือเย็น (การจ้างงานลด) ก่อนที่จะมีการตรวจละเอียดอีกครั้งจากตัวเลขทางการในอีก 2 วันถัดไป
นักลงทุนและผู้เกี่ยวข้องในตลาดการเงินทั่วโลกจึงให้ความสำคัญกับตัวเลขนี้ เพราะมันไม่เพียงแค่บอกสถานะการจ้างงาน แต่ยังสะท้อนถึงความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจ กำลังซื้อของผู้บริโภค และทิศทางเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลกอีกด้วย
ทีมงาน : thaiforexbroker.com